สรุปบทความเรื่อง
ฝึกทักษะสังเกต…นำลูกสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
บริษัท แฟมิลี่ วีคเอนด์ จำกัด
06/04/2011
จากบทความนี้สรุปได้ว่า
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของเด็กนั้นเป็นเรื่องง่าย
และไม่ยุ่งยาก เพราะโดยธรรมชาติของเด็กแล้วนั้นเด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งที่อยู่รอบๆตัวตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่อยู่ในช่วงสมองมีการพัฒนาสูงสุด ยิ่งเด็กนั้นได้พัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กแล้ว
ยิ่งจะทำให้มีทักษะและศักยภาพการเรียนรู้ที่สูงยิ่งขึ้น
ในบทความนี้ก็ได้กล่าวในเรื่องทักษะการสังเกตไว้ว่าทักษะการสังเกตนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์
และได้ให้ความหมายของการสังเกต หมายถึง
การที่ใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างมารวมกัน ได้แก่ ตา
หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
เพื่อต้องการรู้รายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ ที่จะนำมาซึ่งการเรียนรู้ที่มากขึ้นและเด็กจะเก็บเป็นข้อมูลหรือประสบการณ์ต่อไป จึงพูดได้อีกอย่างว่าสำหรับสำหรับเด็กๆ
แล้วการสังเกตจะเกิดจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้านั่นเอง และจากประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้การสังเกตของเด็กพัฒนาขึ้น
การสังเกตสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่มีคุณค่าในที่สุด
การส่งเสริมทักษะการสังเกตผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า
*
ฝึกสังเกตด้วย ตา
ในการสังเกตโดยใช้ “ตา” นั้น คุณพ่อคุณแม่ควรแนะให้ลูกรู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่างๆ สังเกตความเหมือน ความต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภท จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยเริ่มจากการชี้ให้เด็กดูสิ่งที่เขาเห็นอยู่ทุกวัน เช่น ต้นไม้บริเวณบ้าน ลองเก็บใบไม้ต่าง ๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้ลูกดู ให้เขาสังเกตสีของใบไม้ต่าง ๆ ที่มีทั้งสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีน้ำตาล ฯลฯ รวมทั้งมีรูปร่างลักษณะที่ทั้งคล้ายกันและต่าง กัน ให้เด็กสังเกตลักษณะรูปทรงต่าง ๆ ของพืช เช่น เป็นลำต้นตรงสูงขึ้นไป เป็นเถาเลื้อยเกี่ยวพันกับต้นอื่น สังเกตความแตกต่างของดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกชบาสีแดง ดอกดาวเรืองสีเหลือง ดอกลั่นทมสีขาว ฯลฯ
นอกจากใบไม้ ลำต้น กิ่ง ก้านแล้ว เราควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ
ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อสังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่
อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้
เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ลายใบไม้
เส้นผม ผิวหนัง ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
นี่เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งใกล้ตัว
ที่ผู้ใหญ่อย่างเรานำมาชี้ชวนให้เด็กได้ฝึกทักษะการสังเกต รอบๆ ตัวลูกมีสิ่งต่างๆ
อีกมากมายที่จะฝึกเรื่องนี้ให้เขาได้
* ฝึกสังเกตด้วย หู
ในการจำแนกเสียงต่างๆ ที่ได้ยินนั้น จะมีพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้ภาษา
ทั้งยังช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาด้วย
เราอาจใช้วิธีอัดเสียงที่เด็กคุ้นหู เช่น เสียงสัตว์ต่าง ๆ
เสียงนก เสียงแมลง จิ้งหรีด จักจั่น เสียงน้ำไหล เสียงดนตรีชนิดต่าง ฯลฯ แล้วเปิดให้เด็กทายว่าเป็นเสียงอะไร
ให้เด็กหัดสังเกตความแตกต่างของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเขาเกี่ยวกับลักษณะของแหล่งเสียงต่างๆ
นั้นได้
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
อาจใช้วิธีให้ลูกปิดตาแล้วเดาว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น
เสียงเคาะไม้ เคาะแก้ว เสียงตีกลอง เสียงเคาะโต๊ะ เป็นต้น
การฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุ
ซึ่งทำให้เกิดเสียงที่ต่างกันไป นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกทำเครื่องดนตรี
หรือเครื่องให้จังหวะจากวัสดุต่าง ๆ ที่ให้เสียงที่แตกต่างกัน เช่น
กระป๋องอัดลมที่ใส่เม็ดถั่วเขียว ก้อนกรวดเล็กๆ หรือทรายไว้ข้างใน
ลูกซัดหวายร้อยด้วยฝาน้ำอัดลม กรับไม้ไผ่ ฯลฯ หรือชวนลูกไปสวนสาธารณะ
ให้เขาปิดตาเงี่ยหูฟังเสียงแล้วบอกว่าเขาได้ยินเสียงอะไรบ้าง
ลูกอาจจะได้เรียนรู้ว่าการเงียบแล้วเงี่ยหูฟังเสียงนั้น
จะทำให้เขาได้ยินเสียงบางเสียงที่เขาอาจไม่ได้ยินขณะลืมตาฟังก็ได้
* ฝึกสังเกตด้วย จมูก
การใช้จมูกดมกลิ่นเพื่อฝึกการสังเกตนั้น
ควรให้ลูกได้ดมสิ่งที่มีกลิ่นเหมือนและต่างกัน
เพื่อให้เขารู้จักจำแนกได้ละเอียดขึ้น การฝึกลูกในขั้นแรก
คือปิดตาลูกแล้วให้ดมกลิ่นสิ่งต่างๆ แล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร
กลิ่นที่นำมาให้ลูกดมควรเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น แป้ง สบู่ ผลไม้ ส้ม
ดอกไม้ หัวหอม กระเทียม กะเพราะ ฯลฯ หลังจากที่ลูกสามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว
ควรให้ดมกลิ่นสิ่งที่มีกลิ่นคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น
สบู่ต่างชนิดกัน ดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ ผลไม้ เช่น ส้มกับมะนาว
แล้วให้เด็กบรรยายความรู้สึกที่มีต่อกลิ่นนั้นๆ เช่น ดอกไม้นี้หอมชื่นใจ ดอกนี้หอมแรงไป
ใบไม้นี้มีกลิ่นหอม ใบนี้กลิ่นคล้ายของเปรี้ยว ใบนี้กลิ่นร้อนๆ เป็นต้น
นี่คือการฝึกทักษะการแยกแยะ สังเกตให้ลูก
* ฝึกสังเกตด้วย ลิ้น
การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ
เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะสิ่งต่าง
ๆ อยู่แล้ว การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จักความแตกต่างของรสชาติ
และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น ในการจัดกิจกรรมนั้น
คุณพ่อคุณแม่นำอาหารชิ้นเล็ก ๆ หลายๆ
อย่างใส่ถาดให้ลูกปิดตาแล้วพ่อแม่ใส่ปากให้ชิมและตอบว่า กำลังชิมอะไร
รสเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาล-หวาน เกลือ-เค็ม วุ้น-หวาน
ส้ม-เปรี้ยว มะนาว-เปรี้ยว ขนมชั้น-หวาน มะระ-ขม เป็นต้น หลังจากนั้นให้เปรียบเทียบอาหารที่มีรสคล้ายกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
เช่น ส้มกับมะนาว/ น้ำตาลกับขนมแตกต่างกันอย่างไร
* ฝึกสังเกตด้วย ผิวหนัง
การเรียนรู้ด้วยการใช้มือสัมผัส แตะ หรือเอาสิ่งของต่าง ๆ
มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ
และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่อาจนำวัตถุต่างๆ ใส่ถุง
ให้ลูกปิดตาจับของในถุงนั้น แล้วให้บอกว่าสิ่งที่จับมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ
ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา ฯลฯ โดยสิ่งของที่นำมาใส่ในถุงควรมีพื้นผิวแตกต่างกัน เช่น ผ้าเนื้อต่าง ๆ กระดาษ หยาบ ฟองน้ำ ไม้ ขนนก เหรียญ ฯลฯ
นอกจากเด็กจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของเหล่านี้แล้ว
ยังได้เรียนรู้ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันของวัตถุแต่ละชนิดอีกด้วย
การได้ฝึกสังเกตด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้านี้
จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ เกิดเป็นข้อมูลขึ้นในสมองของลูก
เพื่อการเรียกมาใช้ในวันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง...